สิงคโปร์เป็นอีกประเทศที่ตอนนี้คนไทยสามารถเดินทางเข้าไปเที่ยวได้แบบสะดวกมากๆ ขั้นตอนในการลงทะเบียนรวดเร็ว ไม่ต้องรออนุมัติอะไร ปีนี้เราเลยเลือกเดินทางไปในวันที่ 16-17 กรกฎาคม ก็คือแค่วันเสาร์กับวันอาทิตย์ จะได้ไม่ต้องใช้วันลาพัก เที่ยวไม่ครบ แต่ก็เพียงพอที่จะใช้เวลาวันหยุดเที่ยวแบบไม่เหนื่อยมาก แล้วก็ไม่ต้องตื่นเช้า หรือเร่งทำเวลา
เอกสารที่ต้องใช้ในการเข้าสิงคโปร์ปี 2022
- เอกสารการลงทะเบียนว่าได้ฉฉีดวัคซีนครบแล้ว สามารถลงทะเบียนได้ที่ลิงก์นี้
- SG Arrival Card (SGAC) อันนี้ไม่ใช่เอกสาร แต่ว่านักเที่ยวจะต้องลงทะเบียนก่อนผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง เค้าจะสามารถตรวจได้ในระบบ แต่ว่าพวกเราสามารถไปแสกน QR code ของฟอร์มนี้ได้ที่เสาก่อนเข้าช่องตรวจคนเข้าเมืองได้ค่ะ ไม่ต้องทำไปจากไทยก็ได้ หรือใครไม่สะดวกใช้มือถือ ที่หน้าช่องตรวจจะมี iPad ให้กรอกค่ะ แล้วจะมีเจ้าหน้าที่คอยช่วยกรอกด้วย ใครอยากกรอกล่วงหน้าก็ตามไปกรอกได้ที่ลิงก์นี้
สถานที่ที่เราไปในระยะเวลา 2 วันในสิงคโปร์
บอกก่อนว่า ทริปนี้ของเราเป็นทริปสำหรับสำหรับคนขี้เกียจ เราไม่ตื่นเช้า เราเดินช้าๆ ถ้าใครชอบแนวนี้ ลอกตารางเวลาของเราเลยก็ได้
วันที่ 1 Canopy Park ในห้าง Jewel ครึ่งวันเช้า
พอลงจากเครื่องตอนเช้าสนามบินปุ๊บก็เดินเข้าห้าง Jewel ที่อยู่ใน Terminal 1 ของสนามบินสิงคโปร์เลย เราไปถึงเช้า ประมาณ 9 โมงก็ถึงแล้ว ร้านอาหารส่วนมากยังไม่เปิด แต่ก็มีร้านกาแฟที่สามารถซื้อแล้วเอาไปนั่งจิบดูน้ำตกใน Canopy Park นี้ได้ หลังจากนั้นก็สามารถขึ้นไปเดินที่ Capony Bridge ที่อยู่ชั้นบนสุดของห้าง Jewel แต่ว่าจะต้องเสียค่าเข้านะ ซึ่งเราซื้อผ่าน Klook มาในราคา 189 บาท สามารถเข้าไปซื้อได้ที่ลิงก์นี้เลย แต่ถ้าถามว่ามันสวยหรือวิวดีกว่าการมองจากมุมอื่นมั๊ย เราก็จะบอกว่าไม่เลย มองจากมุมอื่นสวยกว่า ไม่ต้องซื้อก็ได้ เพราะมันอยู่ใกล้กับตัวน้ำตกไป แถมติดรางรถไฟที่ข้ามไปข้ามมาระหว่าง Terminal 2 กับ 3 อีก ภาพที่ได้เห็นจะเป็นภาพทางด้านล่างนี้


หลังจากหาของกินเล็กๆน้อยๆ นั่งดูน้ำตกเอาให้พอหายเมื่อยจากการนั่งเครื่องบิน เราก็จะนั่งรถไฟเข้าเมือง โดยรถไฟที่เรานั่งอยู่ที่ Terminal 2 ซึ่งขอให้ทุกคนลงไปที่ชั้นล่างที่เราออกมาแล้วเจอทางเข้าน้ำพุ ในชั้นนี้เราจะเห็นป้ายสีดำที่ห้อยลงมาจากเพดานว่า T2 นั่นก็คือ Terminal 2 ค่ะ แล้วให้ตามลูกศรนั้นไป มันจะพาเราไปที่สะพานเชื่อมเราไปที่ MRT เพื่อเข้าเมืองค่ะ
วันที่ 1 เข้าเมืองโดยรถไฟที่ Terminal 2 ของสนามบิน Changi
พอลงตามลูกศรไปจนทางเข้าสถานีแล้ว พอลงจากบันใดเลื่อนปุ๊บ ให้เลี้ยวซ้ายวกไปตรงด้านหลังของบันใดเลื่อนที่พึ่งลงมานิดนึง จะเห็นห้องขายตั๋ว Singapore Tourist Pass ซึ่งเราสามารถขึ้นได้ทั้งรถบัสและรถไฟได้แบบไม่จำกัดจำนวนครั้ง โดยครั้งนี้เราซื้อแบบ 2 วัน ในราคา 16 ดอลลาร์ พอบวกค่ามัดจำตั๋วไป 10 ดอลลาร์สิงคโปร์ ก็เลยรวมเป็น 26 ดอลลาร์ เราต้องจ่ายเป็นเงินสดเท่านั้น ไม่รับบัตรนะ ส่วนค่ามัดจำบัตรเราจะได้คืนตอนเราเอาบัตรมาคืน เราเองก็เอามาคืนที่สถานนีนี้แหละ สามารถเข้าไปดูรายละเอียดเกี่ยวกับบัตรเพิ่มเติมได้ที่ลิงก์นี้
วันที่ 1 ไป Garden by The Bay ด้วยรถไฟ ตอนบ่าย
หลังจากนั้นเรานั่งรถไฟจากสนามบินตรงไป Garden by The Bay ในช่วงบ่ายๆเลย แต่เราขอแนะนำว่าหาของกินมาก่อนนะ เพราะที่นั่นมันมีแค่อาหารทั่วไป ไม่ได้น่าสนใจ เช่นเบอร์เกอร์
จากสนามบินรถไฟที่เรานั่งจะเป็นสายสีเขียว East West Line ซึ่งมันจะบังคับเราเปลี่ยนขบวนหลังจากที่เรานั่งออกมาจากสนามบินแล้ว 2 สถานที แต่เราไม่ต้องติ๊ดบัตรออกจากตัวสถานี เราแค่เดินข้ามฝั่ง เหมือนข้ามจาก BTS สายอ่อนนุชที่สถานทีสยาม ไป BTS ที่จะไปสนามกีฬาแห่งชาติ จากนั้นก็นั่งยาวๆมาถึงสถานีชื่อ Raffle Place ต่อจากนี้ เราขอแนะนำให้เรียก Grab เพราะถ้าเดินก็จะใช้เวลา 20 นาที โดยระยะทาง 1.6 กิโล มันร้อนไป
เราไป 3 จุดจากทั้งหมด 4 จุดของ Garden by The Bay
- Flower Dome
- Cloud Forest
- Giant Trees (ฟรี)
เราซื้อบัตรเข้า Flower Dome กับ Cloud Forest ผ่าน Klook ในราคา 743 บาท สามารถเข้าไปดูได้ที่ลิงก์นี้ เพราะว่าเราจะได้ไม่ต้องเข้าไปต่อแถว แค่เรายื่นบาร์โค้ดให้ที่เราจะได้รับหลังจากจ่ายเงินให้เจ้าหน้าที่ที่อยู่ตามทางเข้าจุดต่างๆ ก็จะเข้าได้เลย
วันที่ 1 ไป Flower Dome ใน Garden by The Bay
สำหรับเรา มันคุ้มสำหรับการจ่ายเงินเข้าไปดู Flower Dome มากๆ ไม่ใช่เพราะมันถ่ายรูปออกมาแล้วดูสวยนะ แต่บรรยากาศข้างในมันดีมากจริงๆ มันคือความสดชื่น กลิ่นต้นไม้ทะลุหน้ากากเลย แล้วที่สำคัญเค้าใช้แอร์ตลอดเวลา มันเลยเย็นสบาย ถ้าไม่ติดว่าเราไปวันเสาร์อาทิตย์ที่คนเยอะนะ เราก็อยากจะนั่งแช่ในนั้นนานๆเลยแหละ
ข้างในมันก็กว้างพอสมควร แต่ไม่ได้กว้างจนกังวลว่าคนแก่จะเดินไม่ไหวนะ เดินไปเรื่อยๆเพลิน เหมือนเดินในสวนสาธารณะ เพราะฉะนั้นใครที่อยากพาผู้สูงอายุมาก็ไม่มีปัญหา หรือถ้ากลัวว่าจะเดินไม่ไหว ทาง Garden by The Bay เค้ามีรถเข็นให้เช่าด้วยนะ ติดต่อเจ้าหน้าที่ได้เลย


วันที่ 1 ไป Cloud Forest ใน Garden by The Bay
เราชอบ Cloud Forest ที่สุด พอเข้าไปปุ๊บ ภาพแรกที่นึกถึงคือสวนลอยบาบิโลน พอผ่านประตูเข้ามามันคือจุดไฮไลท์ที่คนต้องมาถ่ายรูปก็คือน้ำตก หลังจากนั้นลักษณะทางเดินก็จะวนๆขึ้นเนินไปเรื่อยๆ จนมาถึงลิฟต์ที่ที่จะพาเราขึ้นไปที่เกือยจะถึงยอดของสวน แล้วค่อยๆเดินวนๆตามทางเดินลงมา และส่วนนี้แหละที่เราว่ามันเป็นไฮไลท์ของ Cloud Forest มันคือแสง แสงสวยมาก เวลาเรามองไปข้างหน้าแล้วเห็นต้นไม้ดอกไม้ก็ว่าสวยแล้วนะ สดชื่นดี แต่พอเงบหน้ามองไปดูชั้นบนๆ หรือก้มลงมาดูไต้ไม้ที่ชั้นล่างๆ แล้วมีทางเดินพาดไปมา ความแสงดี ความมีมิติ มันคือสวยจริงๆ
Cloud Forest มันไม่เด่นเรื่องดอกไม้เป็นดอกๆที่สวยนะ แต่มันสวยเพราะภาพรวม บรรยากาศ การออกแบบแสดงที่ลงตัว งานสถาปัตกรรมที่มันทำให้รู้สึกว๊าว ใครที่ชอบพวกงานสถาปัตยกรรมสมัยใหม่น่าจะชอบ Cloud Forest มากๆ แล้วภาพที่เราถ่ายมามันเก็บลำแสง เก็บบรรยากาศที่เราเห็นจริงๆไม่ได้อะ มันเหมือนมีความเขียวๆโอบรอบตัวเราอะ เราอยากให้มาสัมผัสกันเอง มันดีจริงๆ




วันที่ 1 ไป Giant Trees ใน Garden by The Bay
เราไปโซน Giant Trees ช่วงบ่ายแก่ๆ ในความคิดเรานะมันไม่สวยอะ แต่ว่าเราไม่เคยมาตอนกลางคืน ซึ่งเราเดาว่าตอนกลางคืนน่าจะสวยกว่า เพราะมันจะมีเล่นไฟ ตอนนี้ร้อน แล้วก็ดูเป็นเหล็กแท่งๆ สูงๆ ที่มีต้นไม้เหลืองๆแปะๆเป็นกำแพง สรุปว่าให้มาตอนกลางคืนเพื่อดู Giant Tress นี้

วันที่ 1 ไปล่องแม่น้ำช่วงเย็นกับ Singapore River Cruise
หลังจากที่เดินจนเหนื่อยตั้งแต่เช้าจนถึงช่วงบ่าย ตอนเย็นเราเลยเลือกที่จะทำกิจกรรมที่นั่งเฉยๆ นั่นก็คือการไปล่องแม่น้ำกับ Singapore River Cruise ซึ่งจุดที่ขึ้นเรือคือ Qlarke Quay แล้วมันก็อยู่ไม่ไกลจาก Garden by The Bay เท่าไหร่ แต่เราก็แนะนำให้เรียก Grab มาจะดีกว่า มันมันร้อน กว่าจะเดินไปถึง MRT แล้วขึ้นรถตัวก็เปียกเหงื่อพอดี
เราซื้อตั๋วผ่าน Klook เหมือนเดิม เพราะกลัวจะเต็มก่อน เราได้รอย 18.00 น. ซึ่งจริงๆแล้วถ้าเลือกรอบที่ฟ้ามืดไปเลยน่าจะดีกว่าอย่างเช่นรอบหนึ่งทุ่ม แต่วันที่เราจองมันดันเต็มแล้ว ราคาต่อหนึ่งคนคือ 590 บาท ตามไปซื้อตั๋วได้ที่ลิงก์นี้เลย
บรรยากาศกับภายในเรือก็จะเป็นเหมือนภาพด้านล่าง ไม่ได้สวยหรือน่าประทับใจอะไร แต่ก็ถือว่ามาทำกิจกรรมให้ครบๆ พักผ่อน 40 นาทีก็ที่จะหาข้าวเย็นกินแถวๆ Qlarke Quay



วันที่ 1 กินข้าวเย็นที่ SG Hawker
หลังจากที่กลับมาจากทริปล่องแม่น้ำก็มืดพอดี ร้านอาหารแถวท่าเรือก็เริ่มเปิด แล้วด้วยความที่มันเป็นโซน Qlarke Quay ร้านอาหารเลยมีให้เลือกเยอะมาก ส่วนเราเลือกกินอาหารที่ Food Court ธรรมดาที่ชื่อ SG Hawker ที่อยู่ติดถนนใหญ่ หาไม่ยากเลย ถ้าใครมาด้วย Grab ก็จะต้องผ่าน หรือใครมาด้วยรถบัสก็จะต้องเดินผ่าน SG Hawker ก่อนจะเดินไปเข้าโซนริมน้ำอยู่แล้ว อาหารราคาเป็นมิตร แล้วก็รสชาติไม่แย่ ขนาดเราไปวันเสาร์ คนยังไม่เยอะมาก สบายๆ แล้วก็สะอาดดีมาก


